๑๒.๒๖.๒๕๕๑

Marketing, PR, Advertising, Branding - a Visual Analogy

Marketing, Public Relations, Advertising and Branding are all tools for consumer engagement, perception management and brand equity. The relation between these are best explained in the
visual below.

๑๒.๑๙.๒๕๕๑

SOMEWHERE ONLY WE KNOW

From BKK To Zurich




I walked across an empty land

I knew the pathway like the back of my hand

I felt the earth beneath my feet

Sat by the river and it made me complete

Oh simple thing where have you gone

I'm getting old and I need something to rely on

So tell me when you're gonna let me in

I'm getting tired and I need somewhere to begin


I came across a fallen tree

I felt the branches of it looking at me

Is this the place we used to love?

Is this the place that I've been dreaming of?


Oh simple thing where have you gone

I'm getting old and I need something to rely on

So tell me when you're gonna let me in

I'm getting tired and I need somewhere to begin


And if you have a minute why don't we go

Talk about it somewhere only we know?

This could be the end of everything

So why don't we go Somewhere only we know?


๑๒.๑๒.๒๕๕๑

THE CIRCLE OF MEMORIES



วงล้อมของความหลัง

ในที่สุดชั้นก็ตัดสินใจลุกขึ้นมาเขียน blog หลังจากที่ทำตัวนิ่งๆ ไม่เปิด blog ตัวเองมาหลายวัน จู่ๆ ก็มีพลังกดดันให้ชั้นมานั่งเพี้ยนเขียนลง blog เพราะไม่สามารถจะละออกไปจากความคิดได้ ทั้งๆ ที่อยากให้ [ความคิดแบบนั้น] มันผ่านมาเข้ามาทักทายแล้วให้รีบๆ ไปซะ แต่ในที่สุดบางอย่างที่กลับมาในช่วงเวลาแค่สามอาทิตย์ ก็ทำชั้นป่วยจนได้

วันแรกที่รู้ว่าบางอย่างที่หายไปจากครอบครัวกำลังจะเดินทางจากอีกซีกโลกกลับมาหา ชั้นยังมึนงง ไม่เกิดความรู้สึกใดๆ อาจจะเพราะสองปีที่หายไปมันไว ยังไม่ทันซึมซาบ หรือที่จริงอาจเพราะมันนานจนเกิดชิน ภาพเลือนๆ ไปแล้วก็ได้ แต่ยิ่งใกล้วันที่บางอย่างที่หายไปจะกลับมา ตัวชั้นก็เกิดภาพวงล้อมของความหลัง บ่อยขึ้น บ่อยขึ้น

ประมาณ 1-2 เดือน ในขณะที่ความคิดเกิดภาพวงล้อมความหลัง [ในอดีต] ขึ้นมา พฤติกรรมกลับ alert ถึงอนาคต นั่งเขียนตารางว่างและลงวันเอาไว้สำหรับสิ่งที่ต้องเตรียมก่อนจะถึงวันที่น้องจะกลับมา ทุกสิ่งทุกอย่างชั้นคิดว่าจะต้องดูดี และเพิ่มความสะดวกในบ้านใหม่ซึ่งมันก็มีอยู่แล้ว..ให้มีมากขึ้น

ชั้นและจูเต้ เราเริ่มจากการวางแผนขนที่นอนสำหรับห้องที่ให้น้องอยู่ จูเต้โทรไปขอใช้รถกะบะ [ซึ่งต้องขับรถตัวเอง ไปต๊ะไว้ที่บ้านแม่นครนายก แล้วขากลับนั่งรถกะบะแม่กลับกรุงเทพแทน] ตั้งแต่ตอนนั้น ความเหนื่อยเริ่มมีบทบาท ชั้นเหนื่อยและหงุดหงิดทุกครั้งที่ต้องโดนฝุ่นและถือของหนัก แต่ชั้นไม่ควรที่จะพ่นความเหนื่อยที่มีอยู่ออกมาเป็นคำพูด จูเต้ต่างหากที่ควรจะบ่น เพราะเหนื่อยกว่าหลายเท่า เพราะอันที่จริงแล้ว ชั้นไม่ค่อยได้แบก ได้ยก ได้คลุกฝุ่นเท่าไหร่ ในที่สุดเราใช้วันหยุด weekend ของเรากับการเดินทางไปเอารถกะบะจากนครนายกมากรุงเทพ ขนของจากคอนโด และเอามากองไว้ที่บ้าน และเฮือกแรงที่เหลือสุดท้ายใช้ไปกับการขับรถกะบะจากกรุงเทพไปคืนแม่ที่นครนายก และเอารถตัวเองจากนครนายกขับกลับมากรุงเทพ..และเราก็ได้ฟูกที่นอนสองคน [แต่ใช้สามฟูก] ครบ !

วันต่อๆ มารวมถึงโควต้าวันหยุด เราหมดเวลาไปกับการรื้อ ย้าย เปลี่ยน ทุกสิ่งอย่างที่เคยเป็นส่วนหนึ่งในห้องทำงาน [และจูเต้ยึดเป็นห้องมายากลด้วย] ลาก เข็น ยก แบก หาม ของออกมาไว้อีกห้องนึง ไม่น่าเชื่อว่าเราใช้เวลารื้อเป็นอาทิตย์

ที่เหนื่อยที่สุดคงเป็นการ ทาสีกำแพงห้องชั้นสาม ไล่มาจนบันได ห้องนอน และมุมหลืบ ทั้งหมดนั่นเพียงเพราะกำแพงมีรอยดำ ซึ่งชั้นไม่ชอบเป็นอย่างมาก เห็นแล้วรู้สึกเหมือนบ้านเคยมีงานฆาตกรรมแล้วฆาตกรดันกระบือทิ้งรอยนิ้วมือเอาไว้แบบนั้นเลย ซึ่งที่จริงคนทิ้งรอยนิ้วมือ รอยมือเอาไว้ ตอนนี้ชั้นก็ได้ยกให้เค้าเป็น ฆาตกร สำหรับชั้นไปซะละ เพราะทำให้งานเข้า !! ชั้นตั้งใจ จงใจ ทาแล้วทาอีกให้ได้ระดับมีคลาสแบบช่างทาสีมือหนึ่ง ซึ่งถ้าทาไปแล้ว เก็บไม่หมด แล้วคนมาอยู่สังเกตุเห็นความไม่ชอบมาพากลของรอยนิ้วมือนี้ ชั้นจะสะเทือนใจมาก และวันรุ่งขึ้นก็เกิดอาการแก่ อยู่ดีๆ ยกแขนขวาไม่ขึ้น ปวดแขนมากเหมือนมีใครมานั่งทับแขน แต่ชั้นว่ามันเพราะดันระห่ำทาสีบ้านทั้งสองชั้นในหลายชั่วโมง

หลังจากที่ความขยันทำให้แขน [รวมถึงตัว] ไม่ขยับ เพราะขยับไม่ได้ ทำให้เราหมดพลัง alert เราเปลี่ยนไปหมกมุ่นเที่ยวเล่นกับเพื่อน ชิวไป ชิวมา ประมาณหลาย week ห้องน้องก็เลยยังเป็นห้องเปล่าอยู่ จนประมาณ 1 อา. ก่อนที่น้องจะมา ร่างกายก็ปล่อยพลัง alert ติดเทอร์โบออกมาอีก คราวนี้ ทั้งติดม่านห้องน้อง ทั้งติดม่านห้องน้ำชั้นสาม ซื้อผ้าลองเอามาทำม่าน ลองผิดลองถูก [ตามประสา ไอเดียดี ไม่มีงบ] แต่ออกมาก็เหมือนม่านลูกไม้ที่งามเอาเรื่องเหมือนกัน

อีกผลงานสำคัญที่ต้องมี คือ Frame เอามาทำ Sign board สำหรับผู้ที่มาเหยียบบ้านทุกคนเขียนชมบ้าน [หรืออาจจะอยากระบาย+ด่าเจ้าของบ้าน] ไว้เป็นที่ที่เจ้าของบ้านจะคิดถึงและเก็บสถิติผู้ชมบ้านได้ [เหมือนเก็บสถิติคนเข้าเวปเลยแหะ กำลังคิดๆ อยุ่ว่ามี Register ก่อนเข้าบ้านเลยดีมั๊ย lol ] เราทั้งคู่ปวดใจกับราคา Frame ไม้ที่จะเอามาทำอยู่หลายอาทิตย์ เพราะเท่าที่รู้ ไอเดียดี ไม่มีงบ [อีกแล้ว]

และแล้ว..เพื่อนสุดที่รักก็เสกหนุ่มติสท์แห่งคณะจิต'กรรม มาช่วยพวกเรา หนุ่มนั่นติสท์เข้าขั้น ถึงขนาดมี Frame ไม้เก็บไว้เยอะ อั้นไว้จะวาด แต่ผีติสท์แวนโก๊ะคงยังไม่เข้าสิง เลยตั้งมันไว้ว่างๆ แบบนั้นแหละ ชั้นเลยเอ่ยปากแบบมึนๆ ว่าขอซื้อ [ถูก] ได้มั๊ย สุดท้ายชั้นได้ frame สูงเป็นเมตรขึงตึงสวยงาม มาในราคาสองร้อย ขอบคุณเพื่อนรักและหนุ่มติสท์

เมื่อได้ frame มา เราทั้งคู่ ดี๊ด๊า กันมาก ไอเดียชั้นล้ำสุดขั้น เพราะมันไม่ใช่แค่เฟรมสีขาว แล้วมีรอยปากกาเซ็นต์ชื่อชมบ้านเท่านั้น ชั้นบอกกับจูเต้ว่า ชั้นจะทำเป็นภาพ paint ที่ประดับบนกำแพงหน้าบ้าน โดยทำหน้าที่เป็น sign board ด้วย ในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ชั้นก็โชว์ภาพบนหน้าจอ notebook ในโปรแกรม photoshop ที่มีสีและ compose ต่างๆ ลงตัว พร้อมเป็นงานศิลป์ประดับบ้านให้จูเต้ดู...ดูเหมือนจูเต้จะไม่ทันได้ใช้ความคิดด้วยซ้ำ ชั้นได้แต่แอบคิดไปว่า ชอบก็พูดออกมาเลยน่า และคำตอบที่ออกมาก็คือ "อืม..เอาเลย ภาพนี้" จูเต้ใช้ความรู้สึกตอบในแค่ชั่วเสี้ยววินาที

ตอนนี้ผีแวนโก๊ะได้เข้าสิงเราทั้งคู่ ลงทุนขับรถไปซื้อสี [ทั้งที่เงินไม่มีจะแ_ก >> จนเติมคำเอาเอง] ลงมือทำมันสองวันเสร็จ ชื่อภาพว่า "Alien Visit My Planet" แหม ! รื่นรมย์มาก แถมเอาเฟรมเล็กที่เหยินมากกมาทาสีขาวทับ วาดภาพ "อมีบ้า" ได้อีกหนึ่งรูป ประดับกำแพงหลัง sofa

พอใกล้วันนั้นเข้ามาเรื่อยๆ ชั้นคำนวนวันหยุด ตาราง shopping [ของน้อง] และสิ่งที่ยังเพิ่มความสะดวกไม่พอ [ไม่พอซักที] ก็ list ออกมาได้เกือบสองเมตร เป็นในส่วนของผ้าห่ม หมอน ช้อน ส้อม เจลอาบน้ำ อโรมา เจลหอมกลิ่นพีช และรูปเดิ้นๆ ประดับไว้บนถังชักโครกห้องน้ำ เราตัดสินใจซื้อของจากเงินกระปุกออมสินก้อนสุดท้ายที่ยังมีชีวิต เอาไปซื้อของที่ [ไม่] จำเป็น ก่อน Final Countdown วันที่น้องมา

ในที่สุด บ้านใหม่ กับเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น แต่ดูดีและพอเพียงกับความโคดสบายก็ลงตัว....และความเหนื่อยที่เสียไปก็คาดว่าต้องคุ้มมากแน่ๆ

วันพุธที่ 19 จูเต้ ลงแรงเฮือกสุดท้ายที่ยังมีลมหายใจล้างสระปลาคาฟท์ จนใสกิ้งๆ เพื่อทำ Mission Complete ส่วนชั้น Completed mission ไปอย่างสวยงามก่อนหน้านั้นแล้ว เลยมานั่ง chat กับน้องที่กำลังง่วนกับงานก่อนเดินทาง

วันพฤหัสที่ 20 ก่อนวัน ดีเดย์ พ่อแม่ [ซึ่งคาดว่าคงทำตัวพร้อมนานแล้ว] มาค้างบ้าน เพื่อในวันรุ่งขึ้นจะได้ไปรับบางอย่างที่หายไปกลับมา

วันศุกร์ที่ 21 วงล้อมของความหลังปะต่อกันจนสนิท ชั้นและพ่อแม่ เดินทางไปสุวรรณภูมิ เมื่อไปถึงก็โซ้ย lunch กันที่นั่น แต่แปลกที่ถึงแม้ชั้นจะตื่นสาย ไม่ได้ทานข้าวเช้า และตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายแล้ว แต่กลับไม่อยากกินอะไรเลย พ่อแม่ก็กินพอเป็นพิธี คงเป็นความรุ้สึกเดียวกัน เมื่อทานเสร็จ แม่ไม่อ้อมค้อมกับการที่จะพยายามบอกด้วยภาษาท่าลุกรน เพื่อให้ชั้นรู้ว่า ไปรอน้องหน้า gate กันเถอะ ถึงแม้ว่าชั้นจะบอกว่า นี่มันแค่ บ่ายกว่าเอง แต่ก็ไม่เป็นผล

เรา พ่อแม่ เดินลงไปที่ gate ขาเข้า และเร่งไปเช็คที่ Board ทันที สายตามองหา Helsinki [ประเทศฟินแลนด์] เพราะบินจาก Swiss มาไทย เครื่องจะไปจอดพักที่นั่น ตามที่น้องส่งเมล์มาเป๊ะ เวลา 14.35 จะ landed ซึ่งชั้นก็ยังกวนตรีนพ่อแม่ไม่เลิก "บอกพ่อแม่อย่าตื่นเต้นน่า เดี๋ยวน้องก็โทรมาหาเองแหละ ถ้าเค้าหาไม่เจอ" ชั้นยืนรออยู่นาน จนบอกพ่อแม่ว่า ไปเดินเล่นนะคะ หลังจากที่ขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้นบนไม่ถึงห้านาทีเสียงโทรศัพท์ที่เบามาก ก็ดังขึ้น พ่อบอกว่า "น้องเค้าโทรหาแล้ว ไม่ติด น้องมาแล้ว"

เย็นวันนั้นวงล้อมของเราหมุนไปทาน dinn กันที่ Fuji เป็นมื้อ welcome home เพราะทุกคน agree ว่าชอบ และไอ้เมย์ น้องที่หายไป บ่นอยากกินหมึกย่างซีอิ้ว ตั้งแต่อยู่ที่สวิส มื้อนั้น มีน้องจูเลีย และเพื่อนมาร่วมวงล้อมด้วยอีกสองคน

อา.แรกที่น้องมา ชั้นไม่ได้คิดมากกับ "ตารางเวลาแบ่งปันความพอใจแก่ทุกคน" ของน้อง เพราะรู้กันก่อนมาแล้ว ว่าน้องและเน่ ต้องมาทำอะไรเพื่อทุกคน และเพื่อตัวเองเมื่อไหร่ ยังไงบ้าง เว้นแต่ผู้ใหญ่ที่ไม่รู้ ในอา. แรกจึงเจอมั่ง ไม่เจอมั่ง เพราะน้องเลือกคนเอาใจคนแรก คือ จูเลีย น้องสาว นางแบบหน้าคมของเนเน่

อา.ที่สองมาค้างที่บ้านสนามบินน้ำ อยู่ได้ซักสองคืน ก็ขับไปโคราช เยี่ยมป่าปี้ ม่ามี๊ ของเน่ แต่ก็ไปเพียงสามคืนเท่านั้น ส่วนชั้นยังลั้ล ลา พ่อแม่ยิ่งลั้ล ลา

อา.ที่สามเป็นช่วงเวลาของวงล้อมความหลังที่สมบูรณ์ที่สุด บ้านที่ใช้เป็นสถานที่เติมเต็ม รุ้สึกมีชีวิตขึ้นมาทันที จู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะเพิ่มขึ้น มีเสียงคนใส่รองเท้า sleeper ดังแกรก ๆ และเสียงกระดิ่งสร้อยที่ข้อเท้า เดินขึ้นเดินลงเพิ่มขึ้น ห้องทุกห้องไฟเปิดมีคนจับจอง จานที่ถูกเก็บ เอาออกมาใช้ พร้อมช้อนส้อมที่รวบอยู่ที่กระป๋อง wall E ก็มีจำนวนมากขึ้น...เขียนถึงตอนนี้ รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่อยู่ในวงล้อมนี้และขอบคุณที่โลกนี้มีความรัก

Sign Painting "Alien Visit My Planet" ของเราที่แขวนอยู่หน้าบ้านก็ปิด job อย่างสวยงาม กับการเสียพื้นที่ให้พ่อ แม่ น้า เพื่อนน้อง และไอ้เมย์ เนเน่ ได้มีส่วนร่วมในภาพ เขียนเซ็นต์ชื่อเยี่ยมบ้าน โดยการชักจูงให้เซ็นต์ชื่อได้อย่างสนุก และไม่เขิลของชั้น ที่พูดง่ายๆ ว่า "เซ็นต์ให้หน่อย เว้นหัวเอเลี่ยนไว้นะ ต้องให้พระท่านมาเจิม วันนึงอาจจะมีลายเซ็นต์ David Copperfield มาเขียนเยี่ยมบ้าน"

ช่วงเวลานี้ ความหนาวที่เย็นขึ้นกว่าปีก่อน ที่คนไทยทุกคนสัมผัสได้และพูดถึง กลับเป็นเรื่องที่ชั้นไม่ตื่นเต้น เพราะตอนนี้ เป็นช่วงเวลาของเราที่อุ่นที่สุด

เมื่อคืนนี้ น้องหายไป และออกจากประเทศนี้ไปเวลาเที่ยงคืนของเช้าวันที่ 12 ถึงตอนที่ชั้นเขียนอยู่บนพื้นโลกนี้ น้องและเน่ก็ยังคงอยู่บนท้องฟ้า และพ่อแม่ยังคงปรับความรู้สึกตัวเองไม่ได้ และจูเต้ ที่เป็นคนที่ชั้นรักและมีบุญคุณยังคงปลอบใจชั้นอยู่ และคาดว่าคงได้รับผลกระทบทางความรู้สึกจากชั้นที่เคยเป็นชั้น แต่ตอนนี้ป่วย

เมื่อคืนที่สนามบิน ชั้นไม่เข้าใจว่า พ่อทำไมถึงเข้มแข็งได้ใจขนาดนั้น แม่เมื่อเห็นน้องร้องไห้ แม่กลับข่มไม่ร้อง [แต่กลับมานั่งร้องในรถขากลับ] ชั้นที่วาดภาพไว้แล้ว ก่อนหน้าที่น้องจะกลับประเทศ ภาพที่วาดไว้ว่า ห้องนี้ต้องว่างเปล่า ห้องน้ำที่มีแปรงสีฟันที่เพิ่มมาสองอันจะหายไป วินาทีที่น้องร้อง ภาพเหล่านั้นที่ชั้นเชื่อว่าจะทำให้ชั้นใจแข็งเตรียมพร้อมกับการหายไปอีกครั้งกลับไม่ทำงาน ยิ่งฝืนชั้นยิ่งล้น ล้นจนชั้นไม่รุ้สึกอาย เป็นความรู้สึกที่ชั้นรู้สึกว่ามันเก็บมานาน และไม่มีคำถามก่อนจากว่า "จะเจอกันอีกเมื่อไหร่" เพราะต่างรู้คำตอบ แต่พ่อยิ่งย้ำให้คำตอบมันชัดเจนขึ้น เมื่อพูดว่า "แล้วคงได้เจอกันอีก แต่ไม่รู้เมื่อไหร่"

วันนี้ ตั้งแต่ตื่นมาชั้นนั่งอยู่ที่โต๊ะกระจก เขียน blog นี้ และได้แต่ถอดใจ พยายามรั้งสิ่งที่เหลืออยู่ในตอนนี้ให้อยู่ด้วยกันนานขึ้นอีกนิด โดยการไม่ไปส่งพ่อแม่กลับบ้าน แต่คำตอบทำให้ชั้นต้องใจแข็งกว่านี้ เพราะแม่บอกว่า พ่อขึ้นไปที่ห้องน้องชั้นสาม พ่อบอกว่า "ห้องว่างเปล่า ผมเจ็บปวดกับลูกคนเล็กมาก เมื่อคืนนี้ และวันนี้ผมต้องเจ็บปวดกับลูกคนโตอีก เมื่อผมกลับไป ผมต้องตัดใจกลับบ้าน" ชั้นไม่กล้าถามซ้ำอีกว่า พ่อ แม่ค้างอยู่ต่อได้มั๊ย เพราะชั้นเข้าใจว่าความเจ็บปวดครั้งนี้ มันจะยังคงอยู่ หากเรายังพยายามจะเก็บทุกอย่างเอาไว้เหมือนเดิม แต่มันจะไม่เหมือนเดิม ซึ่งที่จริงมันแค่กลับมาเป็นแบบเดิมต่างหาก แค่บางสิ่งที่ผ่านมาแล้วผ่านไป และถ้าชั้นไม่เข้มแข็งพอเหมือนพ่อ ที่บอกว่าต้องตัดใจ ชั้นจะยังเป็นพี่คนโตได้เหรอ

มองเวลา 14.23 pm. เป็นเวลาไทย และ 8.27 am.ช่วงเช้าที่ Zurich น้องคงมองเห็นพื้นโลกแล้ว ส่วนชั้นมองเห็นวงล้อมความหลังที่น่าจะมีวันปะต่อกันได้อีก

เดินทางจากซีกโลกนึง เพื่อมาทำให้วงล้อมความหลังปะต่อกันสมบูรณ์ ขอบคุณนะที่มา เมย์ เน่

ปล. ขอบคุณหนังสือ ฮ่องกง อึ่มกอย ของ มรว. มะลิ ที่ให้ชั้นยืมประโยค "วงล้อมความหลัง" ที่สวยงามนี้มาใช้