visual below.
๑๒.๒๖.๒๕๕๑
Marketing, PR, Advertising, Branding - a Visual Analogy
visual below.
๑๒.๑๙.๒๕๕๑
SOMEWHERE ONLY WE KNOW
From BKK To Zurich
I knew the pathway like the back of my hand
I felt the earth beneath my feet
Sat by the river and it made me complete
Oh simple thing where have you gone
I'm getting old and I need something to rely on
So tell me when you're gonna let me in
I'm getting tired and I need somewhere to begin
I felt the branches of it looking at me
Is this the place we used to love?
Is this the place that I've been dreaming of?
I'm getting old and I need something to rely on
So tell me when you're gonna let me in
I'm getting tired and I need somewhere to begin
Talk about it somewhere only we know?
This could be the end of everything
So why don't we go Somewhere only we know?
๑๒.๑๒.๒๕๕๑
THE CIRCLE OF MEMORIES
ในที่สุดชั้นก็ตัดสินใจลุกขึ้นมาเขียน blog หลังจากที่ทำตัวนิ่งๆ ไม่เปิด blog ตัวเองมาหลายวัน จู่ๆ ก็มีพลังกดดันให้ชั้นมานั่งเพี้ยนเขียนลง blog เพราะไม่สามารถจะละออกไปจากความคิดได้ ทั้งๆ ที่อยากให้ [ความคิดแบบนั้น] มันผ่านมาเข้ามาทักทายแล้วให้รีบๆ ไปซะ แต่ในที่สุดบางอย่างที่กลับมาในช่วงเวลาแค่สามอาทิตย์ ก็ทำชั้นป่วยจนได้
วันแรกที่รู้ว่าบางอย่างที่หายไปจากครอบครัวกำลังจะเดินทางจากอีกซีกโลกกลับมาหา ชั้นยังมึนงง ไม่เกิดความรู้สึกใดๆ อาจจะเพราะสองปีที่หายไปมันไว ยังไม่ทันซึมซาบ หรือที่จริงอาจเพราะมันนานจนเกิดชิน ภาพเลือนๆ ไปแล้วก็ได้ แต่ยิ่งใกล้วันที่บางอย่างที่หายไปจะกลับมา ตัวชั้นก็เกิดภาพวงล้อมของความหลัง บ่อยขึ้น บ่อยขึ้น
ประมาณ 1-2 เดือน ในขณะที่ความคิดเกิดภาพวงล้อมความหลัง [ในอดีต] ขึ้นมา พฤติกรรมกลับ alert ถึงอนาคต นั่งเขียนตารางว่างและลงวันเอาไว้สำหรับสิ่งที่ต้องเตรียมก่อนจะถึงวันที่น้องจะกลับมา ทุกสิ่งทุกอย่างชั้นคิดว่าจะต้องดูดี และเพิ่มความสะดวกในบ้านใหม่ซึ่งมันก็มีอยู่แล้ว..ให้มีมากขึ้น
ชั้นและจูเต้ เราเริ่มจากการวางแผนขนที่นอนสำหรับห้องที่ให้น้องอยู่ จูเต้โทรไปขอใช้รถกะบะ [ซึ่งต้องขับรถตัวเอง ไปต๊ะไว้ที่บ้านแม่นครนายก แล้วขากลับนั่งรถกะบะแม่กลับกรุงเทพแทน] ตั้งแต่ตอนนั้น ความเหนื่อยเริ่มมีบทบาท ชั้นเหนื่อยและหงุดหงิดทุกครั้งที่ต้องโดนฝุ่นและถือของหนัก แต่ชั้นไม่ควรที่จะพ่นความเหนื่อยที่มีอยู่ออกมาเป็นคำพูด จูเต้ต่างหากที่ควรจะบ่น เพราะเหนื่อยกว่าหลายเท่า เพราะอันที่จริงแล้ว ชั้นไม่ค่อยได้แบก ได้ยก ได้คลุกฝุ่นเท่าไหร่ ในที่สุดเราใช้วันหยุด weekend ของเรากับการเดินทางไปเอารถกะบะจากนครนายกมากรุงเทพ ขนของจากคอนโด และเอามากองไว้ที่บ้าน และเฮือกแรงที่เหลือสุดท้ายใช้ไปกับการขับรถกะบะจากกรุงเทพไปคืนแม่ที่นครนายก และเอารถตัวเองจากนครนายกขับกลับมากรุงเทพ..และเราก็ได้ฟูกที่นอนสองคน [แต่ใช้สามฟูก] ครบ !
วันต่อๆ มารวมถึงโควต้าวันหยุด เราหมดเวลาไปกับการรื้อ ย้าย เปลี่ยน ทุกสิ่งอย่างที่เคยเป็นส่วนหนึ่งในห้องทำงาน [และจูเต้ยึดเป็นห้องมายากลด้วย] ลาก เข็น ยก แบก หาม ของออกมาไว้อีกห้องนึง ไม่น่าเชื่อว่าเราใช้เวลารื้อเป็นอาทิตย์
ที่เหนื่อยที่สุดคงเป็นการ ทาสีกำแพงห้องชั้นสาม ไล่มาจนบันได ห้องนอน และมุมหลืบ ทั้งหมดนั่นเพียงเพราะกำแพงมีรอยดำ ซึ่งชั้นไม่ชอบเป็นอย่างมาก เห็นแล้วรู้สึกเหมือนบ้านเคยมีงานฆาตกรรมแล้วฆาตกรดันกระบือทิ้งรอยนิ้วมือเอาไว้แบบนั้นเลย ซึ่งที่จริงคนทิ้งรอยนิ้วมือ รอยมือเอาไว้ ตอนนี้ชั้นก็ได้ยกให้เค้าเป็น ฆาตกร สำหรับชั้นไปซะละ เพราะทำให้งานเข้า !! ชั้นตั้งใจ จงใจ ทาแล้วทาอีกให้ได้ระดับมีคลาสแบบช่างทาสีมือหนึ่ง ซึ่งถ้าทาไปแล้ว เก็บไม่หมด แล้วคนมาอยู่สังเกตุเห็นความไม่ชอบมาพากลของรอยนิ้วมือนี้ ชั้นจะสะเทือนใจมาก และวันรุ่งขึ้นก็เกิดอาการแก่ อยู่ดีๆ ยกแขนขวาไม่ขึ้น ปวดแขนมากเหมือนมีใครมานั่งทับแขน แต่ชั้นว่ามันเพราะดันระห่ำทาสีบ้านทั้งสองชั้นในหลายชั่วโมง
หลังจากที่ความขยันทำให้แขน [รวมถึงตัว] ไม่ขยับ เพราะขยับไม่ได้ ทำให้เราหมดพลัง alert เราเปลี่ยนไปหมกมุ่นเที่ยวเล่นกับเพื่อน ชิวไป ชิวมา ประมาณหลาย week ห้องน้องก็เลยยังเป็นห้องเปล่าอยู่ จนประมาณ 1 อา. ก่อนที่น้องจะมา ร่างกายก็ปล่อยพลัง alert ติดเทอร์โบออกมาอีก คราวนี้ ทั้งติดม่านห้องน้อง ทั้งติดม่านห้องน้ำชั้นสาม ซื้อผ้าลองเอามาทำม่าน ลองผิดลองถูก [ตามประสา ไอเดียดี ไม่มีงบ] แต่ออกมาก็เหมือนม่านลูกไม้ที่งามเอาเรื่องเหมือนกัน
อีกผลงานสำคัญที่ต้องมี คือ Frame เอามาทำ Sign board สำหรับผู้ที่มาเหยียบบ้านทุกคนเขียนชมบ้าน [หรืออาจจะอยากระบาย+ด่าเจ้าของบ้าน] ไว้เป็นที่ที่เจ้าของบ้านจะคิดถึงและเก็บสถิติผู้ชมบ้านได้ [เหมือนเก็บสถิติคนเข้าเวปเลยแหะ กำลังคิดๆ อยุ่ว่ามี Register ก่อนเข้าบ้านเลยดีมั๊ย lol ] เราทั้งคู่ปวดใจกับราคา Frame ไม้ที่จะเอามาทำอยู่หลายอาทิตย์ เพราะเท่าที่รู้ ไอเดียดี ไม่มีงบ [อีกแล้ว]
และแล้ว..เพื่อนสุดที่รักก็เสกหนุ่มติสท์แห่งคณะจิต'กรรม มาช่วยพวกเรา หนุ่มนั่นติสท์เข้าขั้น ถึงขนาดมี Frame ไม้เก็บไว้เยอะ อั้นไว้จะวาด แต่ผีติสท์แวนโก๊ะคงยังไม่เข้าสิง เลยตั้งมันไว้ว่างๆ แบบนั้นแหละ ชั้นเลยเอ่ยปากแบบมึนๆ ว่าขอซื้อ [ถูก] ได้มั๊ย สุดท้ายชั้นได้ frame สูงเป็นเมตรขึงตึงสวยงาม มาในราคาสองร้อย ขอบคุณเพื่อนรักและหนุ่มติสท์
เมื่อได้ frame มา เราทั้งคู่ ดี๊ด๊า กันมาก ไอเดียชั้นล้ำสุดขั้น เพราะมันไม่ใช่แค่เฟรมสีขาว แล้วมีรอยปากกาเซ็นต์ชื่อชมบ้านเท่านั้น ชั้นบอกกับจูเต้ว่า ชั้นจะทำเป็นภาพ paint ที่ประดับบนกำแพงหน้าบ้าน โดยทำหน้าที่เป็น sign board ด้วย ในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ชั้นก็โชว์ภาพบนหน้าจอ notebook ในโปรแกรม photoshop ที่มีสีและ compose ต่างๆ ลงตัว พร้อมเป็นงานศิลป์ประดับบ้านให้จูเต้ดู...ดูเหมือนจูเต้จะไม่ทันได้ใช้ความคิดด้วยซ้ำ ชั้นได้แต่แอบคิดไปว่า ชอบก็พูดออกมาเลยน่า และคำตอบที่ออกมาก็คือ "อืม..เอาเลย ภาพนี้" จูเต้ใช้ความรู้สึกตอบในแค่ชั่วเสี้ยววินาที
ตอนนี้ผีแวนโก๊ะได้เข้าสิงเราทั้งคู่ ลงทุนขับรถไปซื้อสี [ทั้งที่เงินไม่มีจะแ_ก >> จนเติมคำเอาเอง] ลงมือทำมันสองวันเสร็จ ชื่อภาพว่า "Alien Visit My Planet" แหม ! รื่นรมย์มาก แถมเอาเฟรมเล็กที่เหยินมากกมาทาสีขาวทับ วาดภาพ "อมีบ้า" ได้อีกหนึ่งรูป ประดับกำแพงหลัง sofa
พอใกล้วันนั้นเข้ามาเรื่อยๆ ชั้นคำนวนวันหยุด ตาราง shopping [ของน้อง] และสิ่งที่ยังเพิ่มความสะดวกไม่พอ [ไม่พอซักที] ก็ list ออกมาได้เกือบสองเมตร เป็นในส่วนของผ้าห่ม หมอน ช้อน ส้อม เจลอาบน้ำ อโรมา เจลหอมกลิ่นพีช และรูปเดิ้นๆ ประดับไว้บนถังชักโครกห้องน้ำ เราตัดสินใจซื้อของจากเงินกระปุกออมสินก้อนสุดท้ายที่ยังมีชีวิต เอาไปซื้อของที่ [ไม่] จำเป็น ก่อน Final Countdown วันที่น้องมา
ในที่สุด บ้านใหม่ กับเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น แต่ดูดีและพอเพียงกับความโคดสบายก็ลงตัว....และความเหนื่อยที่เสียไปก็คาดว่าต้องคุ้มมากแน่ๆ
วันพุธที่ 19 จูเต้ ลงแรงเฮือกสุดท้ายที่ยังมีลมหายใจล้างสระปลาคาฟท์ จนใสกิ้งๆ เพื่อทำ Mission Complete ส่วนชั้น Completed mission ไปอย่างสวยงามก่อนหน้านั้นแล้ว เลยมานั่ง chat กับน้องที่กำลังง่วนกับงานก่อนเดินทาง
วันพฤหัสที่ 20 ก่อนวัน ดีเดย์ พ่อแม่ [ซึ่งคาดว่าคงทำตัวพร้อมนานแล้ว] มาค้างบ้าน เพื่อในวันรุ่งขึ้นจะได้ไปรับบางอย่างที่หายไปกลับมา
วันศุกร์ที่ 21 วงล้อมของความหลังปะต่อกันจนสนิท ชั้นและพ่อแม่ เดินทางไปสุวรรณภูมิ เมื่อไปถึงก็โซ้ย lunch กันที่นั่น แต่แปลกที่ถึงแม้ชั้นจะตื่นสาย ไม่ได้ทานข้าวเช้า และตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายแล้ว แต่กลับไม่อยากกินอะไรเลย พ่อแม่ก็กินพอเป็นพิธี คงเป็นความรุ้สึกเดียวกัน เมื่อทานเสร็จ แม่ไม่อ้อมค้อมกับการที่จะพยายามบอกด้วยภาษาท่าลุกรน เพื่อให้ชั้นรู้ว่า ไปรอน้องหน้า gate กันเถอะ ถึงแม้ว่าชั้นจะบอกว่า นี่มันแค่ บ่ายกว่าเอง แต่ก็ไม่เป็นผล
เรา พ่อแม่ เดินลงไปที่ gate ขาเข้า และเร่งไปเช็คที่ Board ทันที สายตามองหา Helsinki [ประเทศฟินแลนด์] เพราะบินจาก Swiss มาไทย เครื่องจะไปจอดพักที่นั่น ตามที่น้องส่งเมล์มาเป๊ะ เวลา 14.35 จะ landed ซึ่งชั้นก็ยังกวนตรีนพ่อแม่ไม่เลิก "บอกพ่อแม่อย่าตื่นเต้นน่า เดี๋ยวน้องก็โทรมาหาเองแหละ ถ้าเค้าหาไม่เจอ" ชั้นยืนรออยู่นาน จนบอกพ่อแม่ว่า ไปเดินเล่นนะคะ หลังจากที่ขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้นบนไม่ถึงห้านาทีเสียงโทรศัพท์ที่เบามาก ก็ดังขึ้น พ่อบอกว่า "น้องเค้าโทรหาแล้ว ไม่ติด น้องมาแล้ว"
เย็นวันนั้นวงล้อมของเราหมุนไปทาน dinn กันที่ Fuji เป็นมื้อ welcome home เพราะทุกคน agree ว่าชอบ และไอ้เมย์ น้องที่หายไป บ่นอยากกินหมึกย่างซีอิ้ว ตั้งแต่อยู่ที่สวิส มื้อนั้น มีน้องจูเลีย และเพื่อนมาร่วมวงล้อมด้วยอีกสองคน
อา.แรกที่น้องมา ชั้นไม่ได้คิดมากกับ "ตารางเวลาแบ่งปันความพอใจแก่ทุกคน" ของน้อง เพราะรู้กันก่อนมาแล้ว ว่าน้องและเน่ ต้องมาทำอะไรเพื่อทุกคน และเพื่อตัวเองเมื่อไหร่ ยังไงบ้าง เว้นแต่ผู้ใหญ่ที่ไม่รู้ ในอา. แรกจึงเจอมั่ง ไม่เจอมั่ง เพราะน้องเลือกคนเอาใจคนแรก คือ จูเลีย น้องสาว นางแบบหน้าคมของเนเน่
อา.ที่สองมาค้างที่บ้านสนามบินน้ำ อยู่ได้ซักสองคืน ก็ขับไปโคราช เยี่ยมป่าปี้ ม่ามี๊ ของเน่ แต่ก็ไปเพียงสามคืนเท่านั้น ส่วนชั้นยังลั้ล ลา พ่อแม่ยิ่งลั้ล ลา
อา.ที่สามเป็นช่วงเวลาของวงล้อมความหลังที่สมบูรณ์ที่สุด บ้านที่ใช้เป็นสถานที่เติมเต็ม รุ้สึกมีชีวิตขึ้นมาทันที จู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะเพิ่มขึ้น มีเสียงคนใส่รองเท้า sleeper ดังแกรก ๆ และเสียงกระดิ่งสร้อยที่ข้อเท้า เดินขึ้นเดินลงเพิ่มขึ้น ห้องทุกห้องไฟเปิดมีคนจับจอง จานที่ถูกเก็บ เอาออกมาใช้ พร้อมช้อนส้อมที่รวบอยู่ที่กระป๋อง wall E ก็มีจำนวนมากขึ้น...เขียนถึงตอนนี้ รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่อยู่ในวงล้อมนี้และขอบคุณที่โลกนี้มีความรัก
Sign Painting "Alien Visit My Planet" ของเราที่แขวนอยู่หน้าบ้านก็ปิด job อย่างสวยงาม กับการเสียพื้นที่ให้พ่อ แม่ น้า เพื่อนน้อง และไอ้เมย์ เนเน่ ได้มีส่วนร่วมในภาพ เขียนเซ็นต์ชื่อเยี่ยมบ้าน โดยการชักจูงให้เซ็นต์ชื่อได้อย่างสนุก และไม่เขิลของชั้น ที่พูดง่ายๆ ว่า "เซ็นต์ให้หน่อย เว้นหัวเอเลี่ยนไว้นะ ต้องให้พระท่านมาเจิม วันนึงอาจจะมีลายเซ็นต์ David Copperfield มาเขียนเยี่ยมบ้าน"
ช่วงเวลานี้ ความหนาวที่เย็นขึ้นกว่าปีก่อน ที่คนไทยทุกคนสัมผัสได้และพูดถึง กลับเป็นเรื่องที่ชั้นไม่ตื่นเต้น เพราะตอนนี้ เป็นช่วงเวลาของเราที่อุ่นที่สุด
เมื่อคืนนี้ น้องหายไป และออกจากประเทศนี้ไปเวลาเที่ยงคืนของเช้าวันที่ 12 ถึงตอนที่ชั้นเขียนอยู่บนพื้นโลกนี้ น้องและเน่ก็ยังคงอยู่บนท้องฟ้า และพ่อแม่ยังคงปรับความรู้สึกตัวเองไม่ได้ และจูเต้ ที่เป็นคนที่ชั้นรักและมีบุญคุณยังคงปลอบใจชั้นอยู่ และคาดว่าคงได้รับผลกระทบทางความรู้สึกจากชั้นที่เคยเป็นชั้น แต่ตอนนี้ป่วย
เมื่อคืนที่สนามบิน ชั้นไม่เข้าใจว่า พ่อทำไมถึงเข้มแข็งได้ใจขนาดนั้น แม่เมื่อเห็นน้องร้องไห้ แม่กลับข่มไม่ร้อง [แต่กลับมานั่งร้องในรถขากลับ] ชั้นที่วาดภาพไว้แล้ว ก่อนหน้าที่น้องจะกลับประเทศ ภาพที่วาดไว้ว่า ห้องนี้ต้องว่างเปล่า ห้องน้ำที่มีแปรงสีฟันที่เพิ่มมาสองอันจะหายไป วินาทีที่น้องร้อง ภาพเหล่านั้นที่ชั้นเชื่อว่าจะทำให้ชั้นใจแข็งเตรียมพร้อมกับการหายไปอีกครั้งกลับไม่ทำงาน ยิ่งฝืนชั้นยิ่งล้น ล้นจนชั้นไม่รุ้สึกอาย เป็นความรู้สึกที่ชั้นรู้สึกว่ามันเก็บมานาน และไม่มีคำถามก่อนจากว่า "จะเจอกันอีกเมื่อไหร่" เพราะต่างรู้คำตอบ แต่พ่อยิ่งย้ำให้คำตอบมันชัดเจนขึ้น เมื่อพูดว่า "แล้วคงได้เจอกันอีก แต่ไม่รู้เมื่อไหร่"
วันนี้ ตั้งแต่ตื่นมาชั้นนั่งอยู่ที่โต๊ะกระจก เขียน blog นี้ และได้แต่ถอดใจ พยายามรั้งสิ่งที่เหลืออยู่ในตอนนี้ให้อยู่ด้วยกันนานขึ้นอีกนิด โดยการไม่ไปส่งพ่อแม่กลับบ้าน แต่คำตอบทำให้ชั้นต้องใจแข็งกว่านี้ เพราะแม่บอกว่า พ่อขึ้นไปที่ห้องน้องชั้นสาม พ่อบอกว่า "ห้องว่างเปล่า ผมเจ็บปวดกับลูกคนเล็กมาก เมื่อคืนนี้ และวันนี้ผมต้องเจ็บปวดกับลูกคนโตอีก เมื่อผมกลับไป ผมต้องตัดใจกลับบ้าน" ชั้นไม่กล้าถามซ้ำอีกว่า พ่อ แม่ค้างอยู่ต่อได้มั๊ย เพราะชั้นเข้าใจว่าความเจ็บปวดครั้งนี้ มันจะยังคงอยู่ หากเรายังพยายามจะเก็บทุกอย่างเอาไว้เหมือนเดิม แต่มันจะไม่เหมือนเดิม ซึ่งที่จริงมันแค่กลับมาเป็นแบบเดิมต่างหาก แค่บางสิ่งที่ผ่านมาแล้วผ่านไป และถ้าชั้นไม่เข้มแข็งพอเหมือนพ่อ ที่บอกว่าต้องตัดใจ ชั้นจะยังเป็นพี่คนโตได้เหรอ
มองเวลา 14.23 pm. เป็นเวลาไทย และ 8.27 am.ช่วงเช้าที่ Zurich น้องคงมองเห็นพื้นโลกแล้ว ส่วนชั้นมองเห็นวงล้อมความหลังที่น่าจะมีวันปะต่อกันได้อีก
เดินทางจากซีกโลกนึง เพื่อมาทำให้วงล้อมความหลังปะต่อกันสมบูรณ์ ขอบคุณนะที่มา เมย์ เน่
ปล. ขอบคุณหนังสือ ฮ่องกง อึ่มกอย ของ มรว. มะลิ ที่ให้ชั้นยืมประโยค "วงล้อมความหลัง" ที่สวยงามนี้มาใช้
๑๑.๒๐.๒๕๕๑
Surprise !!
August 28, 2007 05:58:33 GMT
Wentworth Miller and his reported boyfriend Luke McFarlane have been spotted spending a romantic day together over the weekend
from http://www.aceshowbiz.com/news/view/00010934.html
๑๑.๑๗.๒๕๕๑
Can't live without...!!
- Money talks. Chocolate sings.
- Man cannot live on chocolate alone; but woman sure can.
- There are four basic food groups: milk chocolate, dark chocolate, white chocolate, and chocolate truffles.
- There's nothing better than a good friend, except a good friend with CHOCOLATE
- It's not that chocolates are a substitute for love. Love is a substitute for chocolate. Chocolate is, let's face it, far more reliable than a man.
- Nine out of ten people like chocolate. The tenth person always lies..
- Put the chocolate in the bag and nobody gets hurt.
- ... the taste of chocolate is a sensual pleasure in itself, existing in the same world as sex... For myself, I can enjoy the wicked pleasure of chocolate... entirely by myself. Furtiveness makes it better.
- Chocolate: luscious, lumpy. load of love......
- "Save the earth it's the only planet with CHOCOLATE!"
- "If I must die let it be death by chocolate"
๑๑.๐๖.๒๕๕๑
Female NO.1
จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ไม่ขอพูดถึง แต่จะบอกว่า มันถูกแต่งเติมมาตั้งแต่ยังเด็ก
ความคิดยังไม่เปลี่ยน แต่รู้สึกต่างจากเดิม เริ่มชัดถึงพลัง ตื่นเต้น และบ้าคลั่ง กับผู้หญิงหลายๆคน
she worked as a lawyer in the Chicago firm Sidley Austin, where she was assigned to mentor a summer intern named Barack Obama,They married in 1992.
Mrs. Obama was honored by Essence magazine in May 2006 as one of the "World's Most Inspiring Women"; by Vanity Fair in July 2007 as one of the "World's Best-Dressed Women"; and by 02138 magazine in September 2007 as #58 in "The Harvard 100" list of that university's most influential alumni.
Ref. http://www.discoverthenetworks.org/individualProfile.asp?indid=2311
คิดถึงเรื่อง 24 Hours ที่ Palmer ก้าวมายืนอยู่ข้างหน้า ใน Whitehouse ได้อย่างสง่างาม แท้จริงมีพลังที่เป็นแรงขับเคลื่อนอย่างแข็งแกร่งและกล้าหาญอย่าง Mrs.Palmer ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของประธาธิบดีสหรัฐ หนังอาจไม่ต่างกับชีวิตจริงเท่าไหร่นัก....Michelle Obama,She's No.1
สตรีอีกนางหนึ่งที่มีมนต์สะกด ลองมองนัยย์ตาเธอ จะรู้สึกถึงพลังความงดงามที่รวมเรียกว่า ผู้หญิง
ในความตลก แฝงความเป็นที่สุดของการแสดงออกของพลังผู้หญิง ถึงแม้มันจะดู Bitchy สุดโต่งไปก็เถอะ มีคนตั้งคำถามว่า Why Paris Hilton Is Famous? เราตั้งคำถามกับตัวเองเช่นเดียวกับคนทั่วโลก และเริ่มอยากรู้จักเธอให้มากยิ่งขึ้น ยิ่งค้นหา เรายิ่งรุ้สึกตลกกับการทำการตลาดเพื่อความเด่นดัง สุดท้าย เราก็ไม่อาจจะละความสนใจได้ ไม่ว่าจะเป็น ความเป็นต้นแบบ Fashion , การแสดงออกอย่าง Bithcy สุดโต่ง หรือความคิดที่ Non Sense อย่าง Paris Hilton
She was the model of Marketing and i can't leave attention to her !! Me Quote
๑๑.๐๓.๒๕๕๑
๑๐.๐๖.๒๕๕๑
๙.๒๙.๒๕๕๑
ALL MY GUY!
เฮ่อ !! เหมือนจนน่าใจหายยย.... i lve my guy !!
๙.๒๗.๒๕๕๑
MEMORABLE MOVIE..!!
The Beach [2000]
จากการแสดงของ Leonardo Dicaprio ซึ่งก็ติดตามนายคนนี้มาตั้งแต่เรื่อง Romeo&Juliet ยุคใหม่ ของผู้กำกับ Baz Luhrmann จำได้ว่าตั้งใจไปดู เพราะเหตุที่ว่า วันฉายหนัง ดันมีกลุ่มอนุรักษ์ในบ้านเราออกมาประท้วง เคยได้ยินแต่มีการประท้วงที่อื่น แต่นี่เกิดขึ้นที่...ประเทศไทย !! แทบไม่น่าเชื่อ ว่าในบ้านเรา ยังมีคนที่รุ้สึกหวง รุ้สึกเป็นห่วง ประเทศนี้อย่างจริงจังด้วย ทำเอายิ่งกระเหี้ยน เสี้ยนอยากดู ไม่ใช่อะไรหรอก อยากรู้ว่า Location ของเกาะบ้านเรานี่ ทำเอาทีมงาน Hollywood และผู้กำกับอย่าง Danny Boyle ยกกองมาถ่ายทำทั้งเรื่อง และเป็นเรื่องของเกาะสวรรค์ในบ้านเรา ไม่ใช่เป็นเกาะที่ไหนๆ
Scene ที่เปิดเรื่อง เป็นมุมมองเมืองไทย อย่าง American และ Setting ถ่ายที่ข้าวสาร ที่ลือชื่อไปทั่วโลก จนเดี๋ยวนี้กลายเป็นถนนของต่างชาติไป ดูไปเรื่อย จนไปสะดุดตอนที่ Richard [Leonardo] ไปนั่งแผะ มองความสวยงามของ อ่าวมายา แล้วเพลง Porcelain ของ Moby ก็ขึ้นมาพร้อมภาพที่กำลังสะกดเรา เป็นภาพของเกาะที่ยังไม่เคยไป ทั้งภาพทั้งเพลง แม่ม ! สุดยอดด
หนังมีการผสม Adventure Drama และ Thriller อย่างลงตัว เราไม่พูดถึงส่วนผสมของมันละกันนะ อีกจุดนึงที่กระแทกต่อมจิตสำนึกอย่างแรง มาจากประโยคของตัวละครชื่อ Daffy ที่ตะโกนว่า "Virus" "Cancers" It's start by 4......They Multiply!!...It's time to stop them !! รู้สึกใจหายขึ้นมาทันที ถึงการที่มนุษย์เริ่มจากส่วนหนึ่งที่ค้นพบของขวัญจากธรรมชาติ จากนั้นก็เกิดการรุกล้ำธรรมชาติ และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหมือนมะเร็ง
สุดท้ายที่ได้จากหนัง คือ ความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะอยู่ไหนก็ต้องมีสังคม และอาจเป็นคนบาปอย่างไม่ตั้งใจได้ทั้งนั้น
ทุกครั้งที่เหนื่อย หยิบหนังเรื่องนี้ออกมาดู แก้อาการอยากเที่ยวได้ ถ้าไม่มีเวลาไปพักผ่อน ชิวๆ ที่ริมทะเล
City Of God [2002]
"City Of God about several young characters who grow up in and around the dangerous City of God slum in Rio de Janeiro"
มีสามอย่างที่ทำให้อยากดูหนังเรื่องนี้ คือ
- ชื่อ City of God ได้ยินแล้วยังเดาไม่ถูกว่าแนวไหน แต่อะไรที่ god god นี่น่าจะไม่ธรรมดา
- ชื่อของ Fernando Meirelles ชาวบราซิล เกิดมายังไม่เคยได้ดูผู้กำกับสัญชาตินี้เลย [ผู้กำกับชาวอินเดียอย่างตระกูล Shayamalan ทำให้เราเองเริ่มเห็นมุมมองการทำหนังในสไตล์อื่น นอกจาก American มาแล้ว] Fernando เป็นอีกหนึ่งคนที่ทำให้มีทางเลือกอื่นให้คนชอบดูหนังบริโภค
- ชื่อเมือง Rio de Janeiro ซึ่งเราแทบจะไม่รุ้จักตัวตนของเมืองนี้เลย
เสน่ห์ของหนังเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองแห่งเทพเจ้า หนังถ่ายทอดการเอาตัวรอดของมนุษย์ ความเป็นมนุษย์ที่แวดล้อมไปด้วย Drugs, Guns, Music and Love. ความรุนแรงเกิดขึ้นเกือบทุกซีนของหนัง ไม่ด้วยการกระทำ ก็ทางความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร ซึ่งแท้จริงแล้ว ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเกิดจากความกลัวและความอ่อนแอต่อสภาพแวดล้อม บีบให้จำเป็นต้องก้าวร้าวและรุนแรง เพื่อความอยู่รอด บวกด้วยสีของฟิลม์ที่ร้อนแรงจนสัมผัสได้ถึงบรรยากาศของเมือง อืมมม !! ที่สำคัญ สาวผิวสีนี่ สวยเป็นบ้า
A Tale Of Two Sister [2003]
A tale of two sister เสียดายที่ไม่ได้ดูในโรง ก็เรื่องเดิมๆ ที่ทำเอาเราพลาด ไม่อยากดูกับหนังบางเรื่อง ก็ชื่อเรื่องที่ใช้เป็นคำโฆษณาในใบปิดก่อนหนังเข้าฉาย เรื่องนี้ ใช้ชื่อภาษาไทยว่า "ตู้ซ่อนผี" A Tale Of Two Sisters = ตู้ซ่อนผี !!!!??? ชื่อแปลก เดาว่าอยากให้มันฟังแปลก แต่.. ทำให้เรานึกถึงหนังแผ่นเกรด B ยังไงไม่รู้ โฆษณาไม่ค่อยอ่านชื่อเต็มของหนัง แต่จะโปรยแค่คำว่า "ตู้ซ่อนผี" เอาเป็นว่าทันที่ที่หนังออก DVD เราก็รีบไป Fortune ทันที...
หนังเรื่องนี้มีนักแสดงนำเพียง 4 คน โดยมีสองพี่น้องเป็นแกนหลักของเรื่อง คือ มุน คึน ยอง รับบทเป็น ซูยอน [น้องสาว] ชอบน้องคนนี้มากมาย ตั้งแต่ Series Autumn In My Heart อีกคน อิม ซู-จอง [พี่สาว] นี่ก็ชอบสุดใจ รับบทเป็น ซูมี
เรื่องเป็นแนว Horror Suspense Triller เกี่ยวกับครอบครัวหนึ่ง ซึ่งคำโปรยของหนังบอกว่า Every family has its dark secrets พอจะเดาออกนิดนึง ที่น่าดูเพราะยังเป็นหนังผีเรื่องแรกๆ ที่มีผลมาจากช่วง Korea Fever
คิดว่าหลายคนคงคาดหวังกับชื่อเรื่อง "ตู้ซ่อนผี" ซึ่งมันต้องมีผีหลอนแน่นอน แต่เมื่อเราดูจบ จะเกิดคำถามมากมายขึ้นในหลายๆ ซีน ว่า... ตกลงเรื่องนี้มีผีหรือไม่, ถ้ามีผีตนนั้นคือใคร, ฉากนี้ใช่ผี, ไม่ใช่ผี...หลอนมาก สรุปเราดูอีกครั้งถึงสองครั้ง เว้นอา. เพื่อเก็บดีเทลอีกที ที่รู้คือเราโดยหนังหลอกเต็มๆ แต่หลอกแบบมีรสนิยม
หนังยังมีอีกหลายอย่างที่ทำให้น่าดู นอกจากดูจบแล้วเกิดคำถามบ้าๆ อย่างเราอ่ะนะ เรื่องนี้ตั้งใจให้หลอนแบบจะๆ ชัดๆ สีแรงๆ ไม่มึนทึม สลัวเหมือนเรื่องผีทั่วไป, กำกับศิลป์ก็เจ๋ง จนเป็นต้นแบบให้กับหนังบางเรื่องในเมืองไทย [วางศิลป์มาเหมือนกันเลย ว่าง่ายๆ ก๊อปเกาหลีมาเกือบ 100%] คงไว้แต่เรื่อง Sound Effect แบบสะดุ้งเฮือกตามสไตล์ของหนังแนวนี้ และจบหักมุมแบบ Drama โศกนาฏกรรม ล่าสุดค่าย Dreamworks ก็ได้แย่งชิงซื้อลิขสิทธิ์เพื่อไปสร้างตามแบบ Hollywood เรียบร้อย !!
อีกอย่างที่ต้องพูดถึง Prologue [ost.ของเรื่อง] ยังเป็นเพลงที่เราฟังเวลาขับรถบ่อยๆ เพราะมากมาย
Snatch [2000]
Snatch คือเรื่องราวเกี่ยวกับการปล้นเพชรที่กลายเป็นเรื่องชุลมุน และโลกที่ยุ่งเหยิงและสับสน ของวงการมวยผิดกฎหมาย กับยิปซีเชื้อสายไอริชผู้มีสีสัน และ... สุนัขตัวหนึ่ง !! [เห็นใน Poster แล้วรู้เลยว่าเจ้าสุนัขตัวนี้ จะมีบทบาทแค่ไหน ยืนเด่นล้ำหน้าออกมาเลยเชียว ^^]
ไม่น่าเชื่อว่าน้า Guy Ritchie ของเจ๊มาดอนน่า [รู้จักน้ากายริชชี่ จากข่าวของเจ๊มาดอนน่า ไม่รู้ว่าน้าแกจะมีกึ๋นขนาดนี้] จะทั้งเขียน ทั้งกำกับ และทำ Snatch รวบรางวัล 4 wins และ 5 nominations
แอบฮากับมุขกวนตรีนที่มียิงออกมาบ่อยๆ แล้วยังชอบมุมภาพ จนอยากรู้ว่าน้ากาย ริชชี่ คว้าใครมากำกับภาพ ทิม มอริซ โจนส์ ชื่อนี้คุ้นมากมาย พอเห็นผลงานยาวเยียดของพี่แก ก็เลยเข้าใจว่า นี่มันเทพนี่หน่า มิน่า มุมภาพถึงดูดีไฮโซเชียว นานๆ ทีจะมีหนังแนว Comedy Thriller ที่ Cool ขนาดนี้ !!
---- ที่เหลือใน Slide จะกลับมาเขียนอีกที ----- เหนื่อยละ
๙.๑๕.๒๕๕๑
THIS SONG AMEZED ME
don't know why i cry with this song .. maybe i just have true love with someone ..lvu u
๙.๑๔.๒๕๕๑
10 CRAZY THINGS !!
This man came out from my imagination, He's hot & cool, genious & gentle
Many times when someone or something make me sick..
4. Chocolate
My love as chocolate, my lover taste as chocolate...Yummy!
I don't undertand why i just crazy to bought and decorated things in our house with Victorian style..
6. Diamond ring
Blink Blink !! umm i really love it
7.The awesome graphic design
messy - luxurious - vintge outline,all make me peak !!
8.Digital Camera
thx for the person who created 1st camera for our planet..support me to created many pieces of arts, and realize to know "Inspiration"
9. Yummy yummy food...
Thai Cuisine - Vietnam Gourmet - Japanese Restuarant
[A-roi . Ngon-lam . Oishi]
In one day i prefer to have an American breakfast ,Thai cuisine for lanch and have some low fat menu with Vietnam Gourmet.. maybe sometimes i stayed late at night and always have some Tamako sushi with wasabi in my refrigerator, crazy yummy eiei.
10. Sleep over 8 hr.
zZzzzz...