๖.๒๑.๒๕๕๓

2010

2010

หลังจากที่ทำตัวหลงลืม ปล่อยให้ตัวเองวุ่นวายกับผู้คน มากมายกับกระแสวงการคนทำงานปั้นน้ำเป็นตัว ขายความคิดและจินตนาการ
ผ่านมา 1 ปี จาก Blog ครั้งล่าสุด .. สิ่งที่ฝัน ยังคงสวยงาม ไม่เคยเปลี่ยน และบางสิ่งไม่ใช่แค่ฝัน

ย้อนกลับไป เด็กโฆษณาไฟแรงจบใหม่ ยัง lost อยู่กับเส้นทางใจกลางเมืองที่กำลังกระจายออกไปเรื่อยๆ ตอนนั้น ไม่มี GPS ใดๆ มาไกด์เส้นทาง จำได้ลางๆ ว่าอยากทำงาน Creative แต่ไม่กล้า เพราะคิดว่าตัวเองติดส์ไม่พอ ดีกรีไม่ถึง เลยเข้าทำงานที่แรกเป็น Sound Studio Production เจอคนเยอะ ติดส์ก็เยอะ ได้ร่วมงานกับคนที่ไม่น่าจะเจอกันได้ ทุกคนล้วนเป็นหนึ่งใน Idol ของผู้คนมากมาย งานที่ได้รับ ทำอย่างจริงจัง สนุก แรงเยอะ กลับดึก อึด ทำได้ทุกอย่าง เป็นน้องสาวเกือบจะคนเดียวในนั้น ที่ต้องใช้วาทะตะล่อมคุยงาน ประสานงานตั้งแต่ศิลปินรุ่นใหญ่ ท่านเป็นที่เคารพของคนทั่วไป ไล่ level ลงมาจนถึงศิลปินอินดี้ นักแต่งเพลง นักดนตรีที่สร้างผลงานเพลงดีๆ ให้กับวงการเพลงบ้านเรา ทุกระดับความติดส์รับมือได้หมด แต่อย่างเดียวที่เป็นอุปสรรคขัดขวางการทำงานคือภูมิต้านทานทางแรงกดดันต่ำ เลยมักจะปล่อยพลังติดส์ออกมาบ้างในบางเวลา และ point สำคัญที่สุดที่เหมือนเป็นของขวัญสำหรับเด็กทึกบวกๆ อย่างเราก็คือส่วนใหญ่ทุกคนในช่วงเวลานั้น ช่างเป็นคนดี (บางคนดีไม่ดี ไม่รู้) ผลออกมาคือ หน้าที่การงานไปได้ดี มีเจ้านายที่เหมือนเป็นพี่ชายที่น่ารัก หวังดี และเป็นผู้ให้วิชากับน้องๆ เวลานอนไม่ได้นอน ทานอาหารบนโต๊ะทำงานตลอด...
วันนึง เราเกิดอาการติดส์จัดขึ้นมา ยังไม่เคยดึงเอาลิ้นชักในชั้นสมองที่บรรจุข้อมูลที่เรียนมา อยากปล่อยของ ตัดสินใจบอกตรงๆ กับเจ้านายว่า “พี่คะ หายใจไม่ออกละ อยากคิดงาน อยากเป็น Creative” เจ้านายที่เป็นพี่ชาย ก็พร้อมและยินดีให้ออก ทำตามความเชื่อ โดยไม่ว่าอะไร แต่ยังให้แง่คิดถึงมุมมองอย่างผู้ใหญ่ ติดอาวุธออกมาด้วย ขอบคุณพี่ปุ้ม พงษ์พรหม ณ อยุธยา ค่ะ และขอบคุณโรงเรียนทางโลกแห่งความเป็นจริงแห่งแรก

การออกจากงานในครั้งนั้น แลกกับความเชื่อ เป็นจุดเริ่มต้นของโศกนาฎกรรมครั้งใหญ่ของชีวิตการเวียนว่ายอยู่ในวงการปั้นน้ำเป็นตัว คนขายจิตนาการ มันเป็นโศกนาฎกรรมเพราะ สิ่งแวดล้อมที่มีแต่คนสนใจแค่ Trend – Hiso – Party – PR – My self - MONEY มันใช้ชีวิตโคตรจะลำบาก แทนจะใช้พลังในการสร้างสรรค์ กลับต้องไปวิกลจริตกับคนเยอะๆ แล้วยังใส่หน้ากากอีก ทุกวี่วัน พูดก็ต้องแต่งคำ ฟังยังต้องวางท่า เดินก็ต้องเท่ห์ แสดงออกต้องสมาร์ท ต้องมีกระจกมองหลังเผื่อโดนแทง ใช้ชีวิตประจำวันให้มันยากๆ เข้าไว้ ... welcome to the real urban life ...

ที่ที่ 2 เป็นสถานฝึกวิทยายุทธสงครามสังคมเมือง เป็นที่แรกของการสวมมงกุฎ creative ในที่สุด จากที่ขยาดมา 3 ปี หลังจากจบ โดยการแนะนำจากพี่เก่ง พี่ชายที่ติดส์ๆ แต่น่ารัก ผ่านทางลัดเข้าถึงเจ้าของบริษัท ได้ทำงานที่นี่ วันๆ ก็นั่งปล่อยแสงตลอด และไม่ทันได้เล่นเกมสังคม เพราะมัวแต่บ้าไอเดีย ผลสุดท้าย ได้ up level ทางด้านสร้างสรรค์ แต่ fail ทางด้านเกมสังคม อยู่ไม่ถึง 4 เดือน อีกที่มาเรียก..

ที่ที่ 3 เข้าสู่ใจกลางเมืองมากขึ้น เข้าสู่วงโคจรคน Hiso มากขึ้น งานสู่สาธารณะมากขึ้น ไม่จำกัดรูปแบบของความคิดที่จะใส่ในตัวงาน Trend กับ Hiso สองคำนี้ มีอิทธิพล ไม่ว่าจะตอนกิน ตอนนอน หรือตอนเข้าห้องน้ำ ทำเอาเหนื่อย วิ่งตามตลอดเวลา หยุดวิ่งไม่ได้เดี๋ยวงานเสี่ยว

ที่ที่ 4 ขอข้าม ไม่ค่อยมีสาระเท่าไหร่
ที่ล่าสุด ทุกอณูของความคิด ทุกอัตราการเต้นของหัวใจ ทุกการเคลื่อนไหว ทุกจินตนาการจากทุกมุมโลก ทุกวัน ในทุกนาที ถูกเรียกเอามาใช้จนหมด จนรู้สึกกลัวว่า Stock ของที่ปล่อยออกมาอย่างไม่ยั้ง วันนึงมันจะถูกใช้จนหมด คำอิทธิพลจากเดิมมี Trend – Hiso – Party – PR – My self - MONEY ก็มีมาเพิ่มเป็น Lifestyle-Eco-Innovative -Icon - Exclusive - Taste - Vision มาอีกเพียบ

ตอนนี้ บางอย่างที่สูญเสียไปแลกที่จะทำตามความเชื่อ ค่อยๆ Builded Up ขึ้นมาเห็นเป็นรูปร่าง สิ่งที่อยากเป็น วันนี้เป็นอย่างเต็มตัว สิ่งที่กำลังทำ ทุกอย่างมาจากความต้องการของจิตใต้สำนึกบวกกับความหวังมาตลอดระยะเวลา 7 ปี บางอย่างได้ผลเหนือความคาดหมาย และแม้จะเป็นเพียงคนอยู่หลังสุด แต่เสียงปรบมือจากผู้คนกลับได้ยินชัดเจนที่สุด
ช่วงเวลานี้ เป้าหมายแบบอินฟินิตี้ที่ตั้งไว้ บางข้อก็ success อย่างสวยงามไปแล้ว แต่ยังเหลือเป้าหมายที่ท้าทายให้มันส์ได้อีก ยังคงชัดเจน ไม่เคยลืมว่าข้อต่อไปที่ต้องทำคืออะไร ทำเพื่อใคร และส่งผลต่อสังคม ต่อโลกใบนี้ยังไง ประเมินแล้ว ไม่น่ายาก หากเรายอมแลกเวลา พลังทั้งหมดที่มี และแลกกับการรอคอย เดินตามความเชื่อ หลงทางไปบ้าง แต่ไม่หลงลืมว่าเรากำลังทำอะไร แค่นั้น ไม่ว่าจะสุดขอบโลก i will do it !