๑๒.๐๓.๒๕๕๒

Bangkok Rising




Bangkok’s Tallest Building to be a Lush Urban Oasis with The Ritz-Carlton Residences, Public Square and Five-Star Edition Hotel Collaboration with New York’s Ian Schrager to Be Completed 2012

Beginning in Fall 2009, the city of Bangkok – home to an estimated 15 million people – will start to embrace an unprecedented new architectural manifestation of its extraordinary ‘inner world’when construction begins on MahaNakhon, a dazzling tower designed by internationally celebrated German architect Ole Scheeren, Partner of the Office for Metropolitan Architecture (OMA).With MahaNakhon, Scheeren, whose many landmark projects include the CCTV Tower in Beijing,has crafted a gleaming 77-storey skyscraper that will be the tallest building in Thailand’s capital.The design moves beyond the traditional formula of a seamless, inert, glossy totem, and instead actively engages the city: MahaNakhon’s pixilated and carved presence embraces and connects to the surrounding urban fabric rather than overpowering it.

Its glittering stacked surfaces, terraces and protrusions will simultaneously create the impression of digital pixilation and echo the irregularity of ancient mountain topography. This architectural geography is conceived to convey the energy, intensity and inclusiveness of Thai society and celebrate Bangkok’s emergence as a true global capital, fitting the Thai meaning of the name MahaNakhon, translated as ‘great metropolis’.

MahaNakhon is developed by PACE Development Co., Ltd. of Bangkok with joint venture partner Industrial Buildings Corporation Public Company Ltd (IBC). The complex, at 150,000 square meters (approximately 1,6 million square feet) seeks to communicate intimately with Bangkok from the ground up: its series of components comprise MahaNakhon Square, a landscaped outdoor public plaza intended as a new public destination within the city; MahaNakhon Terraces, 10,000 square meters (nearly 110,000 square feet) of luxury retail space with lush gardens and terraces spread over multiple levels for restaurants, cafes and a 24 hour marketplace; The Ritz-Carlton
Residences, Bangkok with 200 highly-customized single-level and duplex homes, each offering the atmosphere of a skybox penthouse, managed by The Ritz-Carlton and interior design by David Collins Studio with five-star amenities for all residents; The Bangkok Edition, a signature boutique hotel with 150 hotel rooms, a collaboration between Marriott International and renowned hotelier Ian Schrager; and a multi-level roof-top Sky Bar and restaurant.

Sorapoj Techakraisri, CEO of PACE Development describes MahaNakhon as, “the result of a strongly held wish to do something for Thailand that is both an enduring architectural symbol and a very real and practical example of a firm commitment to, and confidence in, our nation’s long term economic prosperity and cultural diversity. MahaNakhon will be the city’s tallest building, but more significantly it will accurately represent the audacity of Bangkok today – the optimism and strength of Thai culture and the value of that culture to Asia and the rest of the world.”


ref. and for more detail.: http://www.maha-nakhon.com/


Bangkok, Rising to new heights of innovation..

Bangkok people become the legendary..

We are rising to the new era of Architecture..

I'm so pound to be the part of Mahanakhon' activation teamworkers..

๕.๐๔.๒๕๕๒

Think Difference

Here’s to the crazy ones.
The misfits.
The rebels.
The troublemakers.
The round pegs in the square holes.
The ones who see things differently.
They’re not fond of rules.
And they have no respect for the status quo.
You can quote them, disagree with them
glorify or vilify them.
About the only thing you can’t do is ignore them.
Because they change things.
They push the human race forward.
While some see them as the crazy ones, we see genius.
Because the people who are crazy enough to think
they can change the world, are the ones who do.

๑.๑๓.๒๕๕๒

โชคชะตาให้เวลาชั้น 10 เดือน กับการทดลองเสพ ความสุข โดยการให้ค้นพบด้วยตัวชั้นเอง เพียงลำพัง

ช่วงนี้พื้นที่สำหรับเติมความรู้สึก เติมความคิดให้ตัวเองมีมากขึ้นกว่าปกติ อาจเป็นเพราะเราหยุดเดินตามสังคม ที่ [เคย] มีอิทธิพลอย่างมากกับชีวิต
เมื่อทุกสิ่งหยุดนิ่ง แม้กระทั่งเวลา..ชั้นเปิดเพลง Flightless Bird, American Mouth จาก laptop เสียงร้องพร้อมดนตรีลอยๆ ทำให้เหมือนมีเสียงคนมานั่งกระซิบใกล้ๆ หู ละสายตาจาก MSN และ PowerPoint งาน Presentation ที่เรียบหรูแต่ยุ่งเหยิงด้วยดีเทลของงาน และตั้งใจมองไปที่นอกหน้าต่างติดริมสวน วันนี้..ไม่เหมือนทุกวัน ดอกไม้ ต้นไม้ที่คิดว่ายังเป็นต้นอ่อนกลับเบิกบานชูช่อสูงเลยขอบหน้าตาและคงเป็นอย่างนั้นมาหลายอาทิตย์แล้ว แต่ชั้นกลับไม่เคยได้เห็นความสวยงามของมันมาก่อนเลยเท่าในวันนี้ ชั้นหันมาเปิด Porcelain ของ Moby ต่อใน list เพลง iTune แล้วเดินออกไปในนั่งในสวน ปล่อยให้เพลง loop วนผสมเสียงน้ำตกของสระ เงยมองขึ้นไปเห็นใบของต้นลีลาวดีที่มีเพียงไม่กี่ใบ เพราะเพิ่งผลัดใบร่วงหมดทั้งต้นเหลือแต่กิ่งก้านที่ดูเหมือนเขากวางเรนเดียร์ขนาดใหญ่ มีท้องฟ้าสีฟ้าเป็นพื้นหลัง เท้าเหยียบกับพรมพื้นหญ้าสีเขียว สวนของชั้นและจูเต้ทักทายด้วยการทำตัวลู่เอียงไปมาตามแรงลมที่พัดมากระทบ ไม่น่าเชื่อว่าเพลงที่ชอบกับธรรมชาติในพื้นที่เล็กๆ จะช่วยทำให้ตัวลอยและมีความสุขได้ขนาดนี้..

ความจริงธรรมชาติสามารถบำบัดโรค [จิต] ของคนเมืองได้ ชั้นเป็นอีกหนึ่งคนที่เป็นโรคของคนเมือง อยากขอบคุณบางช่วงเวลาที่บรรยากาศบางอย่างบอกให้ชั้นหยุด หยุดคิด หยุดพูด หยุดทำ และดึงดูดให้เดินออกไปเห็นและสัมผัสกับสิ่งต่างๆ รอบตัวที่ปราศจากการเสแสร้ง การปรุงแต่ง ซึ่งที่จริงแล้วในสวนบ้านของชั้นและจูเต้เป็นอย่างนั้นมาเสมอและเป็นมานานแล้ว แต่ชั้นไม่เคยได้รับรู้เลยว่า นอกจากความสวยงามแบบพื้นๆ ยังมีบางอย่างซ่อนอยู่หากเราพร้อมที่จะหยุดทุกอย่าง แล้วลองนั่งมองมันจริงๆ ธรรมชาติจะรู้บ้างมั๊ยว่าทำให้ใครคนหนึ่งได้รู้จักใจตัวเองมากขึ้นและค้นพบกับความสุขที่เกิดจากการเอาชนะสิ่งรอบตัวที่พยายามฉุดกระชากให้เราต้องหมุนตาม วิ่งตามตลอดเวลา เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น ได้ยินและเข้าใจความหมายของเสียงคนบางคนที่พยายามจะพูด รู้สึกถึงช่วงบรรยากาศของอุณหภูมิในแต่ละวัน ทั้งๆที่ วันเวลาก็หมุน 24 ชั่วโมงเหมือนเดิม ได้หยิบจับของที่วางทิ้งไว้และตั้งใจมอง เลยเห็นถึงคุณค่าบางอย่าง..ท้ายที่สุด ได้รู้ว่าตัวเองมีความสุขแค่ไหนกับเรื่องบางเรื่องที่เคยผ่านไปโดยในตอนนั้นไม่ทันได้คิดหรือรู้สึกเลยด้วยซ้ำว่านี่แหละ คือความสุข เพียงเพราะมันอาจจะเป็นเรื่องซ้ำๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองตลอดเวลา หรือเพราะมันเป็นแค่เพียงเสี้ยวเล็กๆ ที่ไม่สำคัญกับชีวิตในตอนนั้นก็ได้

ทีนี้ชั้นลองบอกกับตัวเองว่า “ตั้งใจนึกดีๆ อีกทีซิ ว่าจะค้นหาและเก็บแต้ม ความสุข อีกได้จากตรงไหน” ความรู้สึกไปไหนไม่ไกล คิดไม่เยอะ ภาพขึ้นมาทันที เป็นภาพของที่บ้าน ภาพครอบครัว พอเป็นภาพนี้ขึ้นมาก็ได้แต่ถอนใจเพราะเวลานี้ครอบครัวของเราห่างกันแต่ไม่เคยรู้สึกไกลกัน ขอบคุณ คุณเทคโนโลยี
ย้อนไปก่อนหน้านี้ บ้านของเราเป็นบ้านของคุณปู่ที่มีศักดิ์เป็นเจ้าพระยา ข้าราชการไทยสมัยก่อนได้รับพระราชทานที่ดินจากหลวง ใจกลางกรุงเก่าล้อมไปด้วยวัดเก่าแก่ และสถาปัตยกรรม กับประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่เปื้อนถนนราชดำเนิน ทุกสิ่งอย่างละแวกนั้นล้วนเหมือนเป็นโลกอีกใบนึง ซึ่งที่จริงแล้วห่างกับโลกปัจจุบัน เพียงขับรถแค่ 15 นาทีก็ถึงย่าน Siam Paragon

สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปจากเดิมมาก ผู้คนแปลกหน้า ต่างถิ่นเข้ามาเช่าพื้นที่เพื่อเป็นที่อยู่ชั่วคราวและหรือเป็นที่อยู่ถาวรซึ่งต้องเสียค่าเช่าไปตลอดชีวิต จะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม ผู้คนที่หมุนเวียนมาใหม่ไม่สนใจในเรื่องอื่นนอกจากการหาเลี้ยงชีพของตนเอง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถนนที่เค้าเดินอยู่ทุกวันผ่านอะไรมาบ้าง จึงไม่ต้องแปลกใจหากสภาพแวดล้อมจะต่างไปจากที่เคยเป็น และไม่สวยงามอย่างที่ควรจะเป็น เมื่อทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปเราทุกคนจึงคุยกันถึงเรื่องที่จะขายที่ดินบริเวณนั้น และยังคงเป็นความคิดที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแน่นอน..จนกระทั่ง

มีความคิดแปลกๆ จากความรู้สึกข้างใน จากสมองที่โล่ง ความคิดที่นิ่งๆ จากฮอร์โมน จากไหนไม่ทราบ เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ชั้นกำลังอยู่ในการทดลองเสพความสุขนี่แหละ ภาพ Flash back ขึ้นมาตอนที่พยายามนึกถึงความสุข ติดตาและต้องยิ้มทุกครั้งที่นึกถึง ไม่มีที่ไหนจะให้ความรู้สึกทดแทนกันได้...........เขียนไม่ออกซะงั้น !!

เอาใหม่ !! นี่คงเขียนเรียงให้ดีได้ไม่เท่าที่ควร เพราะภาพมันตัดไปตัดมาแต่ชัดเจน ชั้นเห็นภาพในวันหยุดที่แม่ร้องเพลง [เพลงของคนแก่สมัยนั้น] พ่อเล่นอิเล็คโทร มีชั้นและน้องร้องเป็นลูกคู่ เป็นอย่างนี้ทุกเย็นก่อนทานข้าว พอเราโตขึ้นมาหน่อยก็จะเปิดวิทยุดังๆ เพลงสากลสมัยพ่อยังหนุ่มลั่นบ้านแทนบางวันที่พ่อไม่ได้เล่นอิเล็คโทร พร้อมกับพระอาทิตย์ใกล้ที่จะหายไป ท้องฟ้าสีแดงออกส้มๆ อย่างในเรื่อง Always ในบรรยากาศครอบครัวสุขสันต์ ดนตรีเป็นสิ่งที่สื่อออกมามากที่สุดที่ทำให้ชั้นรู้ว่า ช่วงเวลานั้น ครอบครัวเรามีความสุขแค่ไหน หลังจากชั่วโมงดนตรีผ่านไป เราก็มานั่งล้อมวงกินข้าวฝีมือพ่อมั่ง แม่มั่ง ส่วนถ้าวันธรรมดาจะเห็นพ่อกลับจากทำงานกระทรวงกลาโหมในชุดของทหาร รีบอาบน้ำเพื่อมาทำกับข้าว ส่วนแม่จะกลับเย็นกว่านั้น แต่ก็พร้อมหน้าตอนทานข้าวเย็นอยู่ดี ถัดมาอีกยุคนึงวันไหนที่ชั้นเข้าครัวเอง จะมีแม่กำกับอยู่ด้วย พ่อคอยส่งเครื่องปรุง ส่วนไอ้เมย์น้องสาวไม่เข้าครัว จะนั่งเล่นคอม ฯ เปิดเพลงสากล [Britpop] ให้ชั้นได้ยินตอนทำครัว และคอยตะโกนบอกว่า “หิวแล้วอ่ะ” ระหว่างรอ ทานข้าวเสร็จ เป็นช่วงเวลาเลี้ยงข้าวเจ้าเหมียวๆ ชั้นและน้องชอบเล่นแมวมาก เพราะไม่มีหมาให้เล่น ก่อนขึ้นห้องนอน เราใช้เวลาก่อนนอนเล่นเกมส์ ไม่เล่นเกมส์ก็เปิดเพลงฟังพร้อมเล่นคอม ฯ ตอนเด็กชั้นนอนกับน้องทุกคืน ยังจำได้ว่า ทุกคืนชั้นจะเลือกเปิดเพลงฟังจนดึก ระหว่างนั้นก็จะเห็นน้องเอา Dictionary มานั่งเปิดท่องทุกหน้าจนง่วง กลางดึกบางวันเพลงสากลจากวิทยุกับแสงพระจันทร์ที่ส่องลอดผ้าม่านมากระทบหน้าตรงที่นอนพอดี เหมือนกับกำลังหลับอยู่ใน Chill Lounge ที่ไหนซักแห่ง รายละเอียดในมุมอื่นของบ้าน ร่องรอยอาจไม่หลงเหลือ รูปร่างอาจเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่ที่จริงไม่เคยลบรอยของความสุขของเราไปได้เลย เป็นความสุขที่เคยเกิดขึ้นซ้ำๆ จนตอนนั้นเราลืมรับรู้ไป

ถึงตอนนี้ ชั้น Message ไปบอกแม่ว่าตัดสินใจกันใหม่มั๊ย เรื่องขายบ้าน และบอกไปว่า ขายความสุข ความทรงจำ ในบ้านหลังนั้นไม่ลงจริงๆ อย่างน้อยทุกครั้งที่อยากเสพความสุข ก็ยังมีที่ที่นึงบนโลกใบนี้ ที่ความสุขมีอยู่ทุกๆ ตารางนิ้ว