๑.๑๓.๒๕๕๒

โชคชะตาให้เวลาชั้น 10 เดือน กับการทดลองเสพ ความสุข โดยการให้ค้นพบด้วยตัวชั้นเอง เพียงลำพัง

ช่วงนี้พื้นที่สำหรับเติมความรู้สึก เติมความคิดให้ตัวเองมีมากขึ้นกว่าปกติ อาจเป็นเพราะเราหยุดเดินตามสังคม ที่ [เคย] มีอิทธิพลอย่างมากกับชีวิต
เมื่อทุกสิ่งหยุดนิ่ง แม้กระทั่งเวลา..ชั้นเปิดเพลง Flightless Bird, American Mouth จาก laptop เสียงร้องพร้อมดนตรีลอยๆ ทำให้เหมือนมีเสียงคนมานั่งกระซิบใกล้ๆ หู ละสายตาจาก MSN และ PowerPoint งาน Presentation ที่เรียบหรูแต่ยุ่งเหยิงด้วยดีเทลของงาน และตั้งใจมองไปที่นอกหน้าต่างติดริมสวน วันนี้..ไม่เหมือนทุกวัน ดอกไม้ ต้นไม้ที่คิดว่ายังเป็นต้นอ่อนกลับเบิกบานชูช่อสูงเลยขอบหน้าตาและคงเป็นอย่างนั้นมาหลายอาทิตย์แล้ว แต่ชั้นกลับไม่เคยได้เห็นความสวยงามของมันมาก่อนเลยเท่าในวันนี้ ชั้นหันมาเปิด Porcelain ของ Moby ต่อใน list เพลง iTune แล้วเดินออกไปในนั่งในสวน ปล่อยให้เพลง loop วนผสมเสียงน้ำตกของสระ เงยมองขึ้นไปเห็นใบของต้นลีลาวดีที่มีเพียงไม่กี่ใบ เพราะเพิ่งผลัดใบร่วงหมดทั้งต้นเหลือแต่กิ่งก้านที่ดูเหมือนเขากวางเรนเดียร์ขนาดใหญ่ มีท้องฟ้าสีฟ้าเป็นพื้นหลัง เท้าเหยียบกับพรมพื้นหญ้าสีเขียว สวนของชั้นและจูเต้ทักทายด้วยการทำตัวลู่เอียงไปมาตามแรงลมที่พัดมากระทบ ไม่น่าเชื่อว่าเพลงที่ชอบกับธรรมชาติในพื้นที่เล็กๆ จะช่วยทำให้ตัวลอยและมีความสุขได้ขนาดนี้..

ความจริงธรรมชาติสามารถบำบัดโรค [จิต] ของคนเมืองได้ ชั้นเป็นอีกหนึ่งคนที่เป็นโรคของคนเมือง อยากขอบคุณบางช่วงเวลาที่บรรยากาศบางอย่างบอกให้ชั้นหยุด หยุดคิด หยุดพูด หยุดทำ และดึงดูดให้เดินออกไปเห็นและสัมผัสกับสิ่งต่างๆ รอบตัวที่ปราศจากการเสแสร้ง การปรุงแต่ง ซึ่งที่จริงแล้วในสวนบ้านของชั้นและจูเต้เป็นอย่างนั้นมาเสมอและเป็นมานานแล้ว แต่ชั้นไม่เคยได้รับรู้เลยว่า นอกจากความสวยงามแบบพื้นๆ ยังมีบางอย่างซ่อนอยู่หากเราพร้อมที่จะหยุดทุกอย่าง แล้วลองนั่งมองมันจริงๆ ธรรมชาติจะรู้บ้างมั๊ยว่าทำให้ใครคนหนึ่งได้รู้จักใจตัวเองมากขึ้นและค้นพบกับความสุขที่เกิดจากการเอาชนะสิ่งรอบตัวที่พยายามฉุดกระชากให้เราต้องหมุนตาม วิ่งตามตลอดเวลา เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น ได้ยินและเข้าใจความหมายของเสียงคนบางคนที่พยายามจะพูด รู้สึกถึงช่วงบรรยากาศของอุณหภูมิในแต่ละวัน ทั้งๆที่ วันเวลาก็หมุน 24 ชั่วโมงเหมือนเดิม ได้หยิบจับของที่วางทิ้งไว้และตั้งใจมอง เลยเห็นถึงคุณค่าบางอย่าง..ท้ายที่สุด ได้รู้ว่าตัวเองมีความสุขแค่ไหนกับเรื่องบางเรื่องที่เคยผ่านไปโดยในตอนนั้นไม่ทันได้คิดหรือรู้สึกเลยด้วยซ้ำว่านี่แหละ คือความสุข เพียงเพราะมันอาจจะเป็นเรื่องซ้ำๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองตลอดเวลา หรือเพราะมันเป็นแค่เพียงเสี้ยวเล็กๆ ที่ไม่สำคัญกับชีวิตในตอนนั้นก็ได้

ทีนี้ชั้นลองบอกกับตัวเองว่า “ตั้งใจนึกดีๆ อีกทีซิ ว่าจะค้นหาและเก็บแต้ม ความสุข อีกได้จากตรงไหน” ความรู้สึกไปไหนไม่ไกล คิดไม่เยอะ ภาพขึ้นมาทันที เป็นภาพของที่บ้าน ภาพครอบครัว พอเป็นภาพนี้ขึ้นมาก็ได้แต่ถอนใจเพราะเวลานี้ครอบครัวของเราห่างกันแต่ไม่เคยรู้สึกไกลกัน ขอบคุณ คุณเทคโนโลยี
ย้อนไปก่อนหน้านี้ บ้านของเราเป็นบ้านของคุณปู่ที่มีศักดิ์เป็นเจ้าพระยา ข้าราชการไทยสมัยก่อนได้รับพระราชทานที่ดินจากหลวง ใจกลางกรุงเก่าล้อมไปด้วยวัดเก่าแก่ และสถาปัตยกรรม กับประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่เปื้อนถนนราชดำเนิน ทุกสิ่งอย่างละแวกนั้นล้วนเหมือนเป็นโลกอีกใบนึง ซึ่งที่จริงแล้วห่างกับโลกปัจจุบัน เพียงขับรถแค่ 15 นาทีก็ถึงย่าน Siam Paragon

สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปจากเดิมมาก ผู้คนแปลกหน้า ต่างถิ่นเข้ามาเช่าพื้นที่เพื่อเป็นที่อยู่ชั่วคราวและหรือเป็นที่อยู่ถาวรซึ่งต้องเสียค่าเช่าไปตลอดชีวิต จะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม ผู้คนที่หมุนเวียนมาใหม่ไม่สนใจในเรื่องอื่นนอกจากการหาเลี้ยงชีพของตนเอง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถนนที่เค้าเดินอยู่ทุกวันผ่านอะไรมาบ้าง จึงไม่ต้องแปลกใจหากสภาพแวดล้อมจะต่างไปจากที่เคยเป็น และไม่สวยงามอย่างที่ควรจะเป็น เมื่อทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปเราทุกคนจึงคุยกันถึงเรื่องที่จะขายที่ดินบริเวณนั้น และยังคงเป็นความคิดที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแน่นอน..จนกระทั่ง

มีความคิดแปลกๆ จากความรู้สึกข้างใน จากสมองที่โล่ง ความคิดที่นิ่งๆ จากฮอร์โมน จากไหนไม่ทราบ เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ชั้นกำลังอยู่ในการทดลองเสพความสุขนี่แหละ ภาพ Flash back ขึ้นมาตอนที่พยายามนึกถึงความสุข ติดตาและต้องยิ้มทุกครั้งที่นึกถึง ไม่มีที่ไหนจะให้ความรู้สึกทดแทนกันได้...........เขียนไม่ออกซะงั้น !!

เอาใหม่ !! นี่คงเขียนเรียงให้ดีได้ไม่เท่าที่ควร เพราะภาพมันตัดไปตัดมาแต่ชัดเจน ชั้นเห็นภาพในวันหยุดที่แม่ร้องเพลง [เพลงของคนแก่สมัยนั้น] พ่อเล่นอิเล็คโทร มีชั้นและน้องร้องเป็นลูกคู่ เป็นอย่างนี้ทุกเย็นก่อนทานข้าว พอเราโตขึ้นมาหน่อยก็จะเปิดวิทยุดังๆ เพลงสากลสมัยพ่อยังหนุ่มลั่นบ้านแทนบางวันที่พ่อไม่ได้เล่นอิเล็คโทร พร้อมกับพระอาทิตย์ใกล้ที่จะหายไป ท้องฟ้าสีแดงออกส้มๆ อย่างในเรื่อง Always ในบรรยากาศครอบครัวสุขสันต์ ดนตรีเป็นสิ่งที่สื่อออกมามากที่สุดที่ทำให้ชั้นรู้ว่า ช่วงเวลานั้น ครอบครัวเรามีความสุขแค่ไหน หลังจากชั่วโมงดนตรีผ่านไป เราก็มานั่งล้อมวงกินข้าวฝีมือพ่อมั่ง แม่มั่ง ส่วนถ้าวันธรรมดาจะเห็นพ่อกลับจากทำงานกระทรวงกลาโหมในชุดของทหาร รีบอาบน้ำเพื่อมาทำกับข้าว ส่วนแม่จะกลับเย็นกว่านั้น แต่ก็พร้อมหน้าตอนทานข้าวเย็นอยู่ดี ถัดมาอีกยุคนึงวันไหนที่ชั้นเข้าครัวเอง จะมีแม่กำกับอยู่ด้วย พ่อคอยส่งเครื่องปรุง ส่วนไอ้เมย์น้องสาวไม่เข้าครัว จะนั่งเล่นคอม ฯ เปิดเพลงสากล [Britpop] ให้ชั้นได้ยินตอนทำครัว และคอยตะโกนบอกว่า “หิวแล้วอ่ะ” ระหว่างรอ ทานข้าวเสร็จ เป็นช่วงเวลาเลี้ยงข้าวเจ้าเหมียวๆ ชั้นและน้องชอบเล่นแมวมาก เพราะไม่มีหมาให้เล่น ก่อนขึ้นห้องนอน เราใช้เวลาก่อนนอนเล่นเกมส์ ไม่เล่นเกมส์ก็เปิดเพลงฟังพร้อมเล่นคอม ฯ ตอนเด็กชั้นนอนกับน้องทุกคืน ยังจำได้ว่า ทุกคืนชั้นจะเลือกเปิดเพลงฟังจนดึก ระหว่างนั้นก็จะเห็นน้องเอา Dictionary มานั่งเปิดท่องทุกหน้าจนง่วง กลางดึกบางวันเพลงสากลจากวิทยุกับแสงพระจันทร์ที่ส่องลอดผ้าม่านมากระทบหน้าตรงที่นอนพอดี เหมือนกับกำลังหลับอยู่ใน Chill Lounge ที่ไหนซักแห่ง รายละเอียดในมุมอื่นของบ้าน ร่องรอยอาจไม่หลงเหลือ รูปร่างอาจเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่ที่จริงไม่เคยลบรอยของความสุขของเราไปได้เลย เป็นความสุขที่เคยเกิดขึ้นซ้ำๆ จนตอนนั้นเราลืมรับรู้ไป

ถึงตอนนี้ ชั้น Message ไปบอกแม่ว่าตัดสินใจกันใหม่มั๊ย เรื่องขายบ้าน และบอกไปว่า ขายความสุข ความทรงจำ ในบ้านหลังนั้นไม่ลงจริงๆ อย่างน้อยทุกครั้งที่อยากเสพความสุข ก็ยังมีที่ที่นึงบนโลกใบนี้ ที่ความสุขมีอยู่ทุกๆ ตารางนิ้ว

ไม่มีความคิดเห็น: